โพชฌังคปัพพะ: หัวใจแห่งการตรัสรู้ตามนัยสวดมนต์ฉบับหลวง (ai generated)
โพชฌังคปัพพะ: หัวใจแห่งการตรัสรู้ตามนัยสวดมนต์ฉบับหลวง (ai generated)
การเจริญสติปัฏฐานในหมวดธรรมลึกซึ้ง
ในบรรดาธรรมปฏิบัติอันเป็นทางเอกที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบและทรงสอนไว้ สติปัฏฐาน 4 ย่อมเป็นรากฐานสำคัญสูงสุดของการเข้าถึงความพ้นทุกข์
การเจริญสติปัฏฐานนั้นแบ่งออกเป็นสี่หมวดหลัก คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
(พิจารณากาย),
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
(พิจารณาเวทนา), จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
(พิจารณาจิต),
และหมวดที่ลึกซึ้งที่สุดคือ ธัมมานุธัมมะสะติปัฏฐาน (พิจารณาธรรมในธรรม)
การพิจารณาธรรมในธรรมนี้คือการพิจารณาธรรมะชุดต่างๆ
ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน อันเป็นองค์ประกอบที่นำไปสู่การบรรลุธรรมโดยตรง
ซึ่งหนึ่งในชุดธรรมที่สำคัญยิ่งนั้นก็คือ โพชฌังคปัพพะ หรือหมวดว่าด้วย โพชฌงค์ 7 อันเป็นปัจจัยแห่งการตรัสรู้
๑. ความสำคัญของ ธัมมานุธัมมะสะติปัฏฐาน
หมวด ธัมมานุธัมมะสะติปัฏฐาน (Contemplation of the Dhamma in the Dhammas) คือการฝึกสติให้รู้เท่าทันธรรมะต่างๆ
ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ ไม่ว่าจะเป็นธรรมที่เป็นกุศล อกุศล หรือธรรมกลางๆ
โดยมุ่งเน้นการเห็นความสัมพันธ์ระหว่างธรรมเหล่านั้น
และการเห็นกฎธรรมชาติของสรรพสิ่ง
ในหมวดนี้ ไม่ได้พิจารณาเพียงแค่สิ่งเดียว
แต่พิจารณาเป็นกลุ่มธรรม เช่น ขันธ์ 5, อายตนะ
12, โพชฌงค์ 7, อริยมรรคมีองค์ 8 เป็นต้น การที่โพชฌงค์ 7 ถูกบรรจุอยู่ในหมวดนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า โพชฌงค์ นั้นเป็น ธรรมที่ต้องถูกพิจารณาด้วยสติ และเป็น ธรรมที่เกื้อกูลต่อการเจริญปัญญา จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งทุกข์
๒. ทำความรู้จัก "โพชฌงค์ ๗"
ปัจจัยแห่งการตรัสรู้
โพชฌงค์ (Bojjhanga) หมายถึง องค์แห่งการตรัสรู้ หรือธรรมที่เป็นองค์ประกอบให้ถึงความรู้แจ้ง
(สัมโพธิ) โพชฌงค์มี ๗ ประการ ซึ่งหากเจริญให้บริบูรณ์แล้ว
ย่อมเป็นเครื่องนำไปสู่การหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ธรรมทั้ง ๗
ประการนี้มีความสมดุลและเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างยิ่ง ได้แก่:
- สติสัมโพชฌงค์ (Sati-sambojjhanga): สติ คือความระลึกได้ ความไม่ประมาท
ความตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ที่กำหนดไว้ได้มั่นคง ไม่ฟุ้งซ่าน
เป็นฐานสำคัญที่สุดในการเริ่มต้นปฏิบัติ
- ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ (Dhammavicaya-sambojjhanga): ความสอดส่องธรรม คือการใช้ปัญญาไตร่ตรอง
ตรวจสอบธรรมที่เกิดขึ้นว่า ธรรมนี้เป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นจริงหรือไม่จริง
- วิริยสัมโพชฌงค์ (Viriya-sambojjhanga): ความเพียร คือความอุตสาหะ
พยายามอย่างไม่ย่อท้อในการละอกุศลและบำเพ็ญกุศลให้บริบูรณ์
- ปีติสัมโพชฌงค์ (Pīti-sambojjhanga): ความอิ่มใจ คือความรู้สึกปลาบปลื้มใจ
เบิกบานใจ
เมื่อการปฏิบัติธรรมก้าวหน้าหรือเมื่อสติปัญญากำลังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ (Passaddhi-sambojjhanga): ความสงบกายสงบใจ คือการที่กายและจิตมีความผ่อนคลาย
สงบเย็นจากความเร่าร้อนของกิเลสและความฟุ้งซ่าน
- สมาธิสัมโพชฌงค์ (Samādhi-sambojjhanga): สมาธิ คือความตั้งมั่นแห่งจิต
จิตรวมอยู่กับอารมณ์เดียวได้อย่างต่อเนื่องและแน่วแน่
- อุเบกขาสัมโพชฌงค์ (Upekkhā-sambojjhanga): ความวางเฉย คือการวางใจเป็นกลางอย่างเที่ยงธรรม
ไม่ยินดียินร้ายในอารมณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยความรู้เท่าทันตามความเป็นจริง
๓. นัยสำคัญของ โพชฌังคปัพพะ
ในสวดมนต์ฉบับหลวง
พระปริตรที่รวบรวมใน สวดมนต์ฉบับหลวง นั้นได้รับความเคารพอย่างสูงในราชอาณาจักรไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรวบรวมและชำระของ สมเด็จพระสังฆราช (ปุสสะเทวะ) แห่งวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม (พระนามเดิมสา ปุสสเทโว) ในสมัยรัชกาลที่ ๔
ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงความถูกต้องและเป็นมาตรฐานของการปฏิบัติ
ในโพชฌังคปัพพะตามนัยแห่งพระปริตรนี้
มีจุดเน้นที่การพิจารณา การเกิดขึ้น
(อุปปาทะ) และ การดับไป (วยะ) ของโพชฌงค์ 7 ด้วยสติ
๓.๑.
การพิจารณาการเกิดขึ้นและดับไปของโพชฌงค์
ตามหลักการในฉบับหลวงและอรรถกถา
(อธิบายเพิ่มเติม) การพิจารณาโพชฌงค์ 7 ด้วยธัมมานุธัมมะสะติปัฏฐานนั้น
คือการใช้ ปัญญา สอดส่องดูว่าโพชฌงค์แต่ละตัว:
- เกิดขึ้นได้อย่างไร? (สัมภวตัง): โพชฌงค์เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัยอะไร? คำตอบคือเกิดจาก โยนิโสมนสิการ (Yonisomanasikāra) คือการทำในใจโดยแยบคาย
หรือการใส่ใจในธรรมนั้นๆ อย่างถูกวิธี เมื่อมีปัญญาเห็นชอบแล้ว ความระลึก
สอดส่อง เพียร ฯลฯ ก็จะเกิดขึ้นตามมา
- ดับไปได้อย่างไร? (อภิญญา): โพชฌงค์ดับไปเพราะอาศัยเหตุปัจจัยอะไร? คำตอบคือดับไปเพราะ อโยนิโสมนสิการ (Ayonisomanasikāra) คือการไม่ทำในใจโดยแยบคาย
หรือการใส่ใจโดยไม่ถูกวิธี ทำให้สติฟุ้งซ่าน ปัญญาไม่เกิด ความเพียรย่อหย่อน
โพชฌงค์จึงไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
การเห็นเช่นนี้คือการใช้สติและปัญญาในการควบคุมเหตุปัจจัยของกุศลธรรม
นั่นคือการ เจริญโพชฌงค์ ให้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ และ ละทิ้งความประมาท (อโยนิโสมนสิการ) ที่เป็นเหตุให้โพชฌงค์ดับไป
๓.๒. การปรับสมดุลของธรรม (Balancing the Factors)
สิ่งที่สำคัญที่สุดในโพชฌงค์คือ ความสมดุล ซึ่งการสวดมนต์และการพิจารณาตามนัยนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการทำงานร่วมกันขององค์ธรรม:
กลุ่มธรรม |
องค์ประกอบ |
จุดสมดุล |
ฝ่ายปัญญา |
ธัมมวิจยะ (สอดส่อง) |
ต้องสมดุลกับ สมาธิ (ความตั้งมั่น)
มิฉะนั้นจะฟุ้งซ่าน |
ฝ่ายความเพียร |
วิริยะ (เพียร) |
ต้องสมดุลกับ ปัสสัทธิ (ความสงบ)
มิฉะนั้นจะเคร่งเครียดเกินไป |
ฝ่ายความอิ่มใจ |
ปีติ (อิ่มใจ) |
ควรเกิดขึ้นจาก วิริยะ และ สติ
เพื่อไม่ให้เป็นปีติที่ฟุ้งซ่าน แต่เป็นปีติที่นำไปสู่สมาธิ |
การที่สวดมนต์ฉบับหลวงและคณาจารย์ในอดีตให้ความสำคัญกับโพชฌงค์อย่างยิ่งนั้น
ก็เพราะธรรมชุดนี้คือ เครื่องมือในการจูนจิตให้เข้าสู่ความเป็นกลาง เพื่อให้เกิดปัญญาในการเห็นแจ้งอริยสัจ 4 ในที่สุด
๔. สมเด็จพระสังฆราช (ปุสสะเทวะ)
กับการสืบทอดพระธรรม
การอ้างอิงถึง สมเด็จพระสังฆราช (ปุสสะเทวะ)
ซึ่งทรงเป็นผู้รจนาและชำระบทสวดมนต์ภาษาบาลีในสมัยนั้น
ย่อมเป็นการยืนยันถึงความน่าเชื่อถือและความศักดิ์สิทธิ์ของบทสวด
วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม
ซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๔
และเป็นที่ประดิษฐานของพระอัฐิของสมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ (ปุสสะเทวะ)
ได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการรักษาและสืบทอดธรรมเนียมปฏิบัติและบทสวดที่ถูกต้องตามพระราชนิยมและตามหลักการพระวินัยมาโดยตลอด
ดังนั้น การที่เราสวด โพชฌังคปัพพะ ตามนัยในสวดมนต์ฉบับหลวง จึงมิใช่เพียงการท่องจำ
แต่เป็นการระลึกถึง แนวทางการปฏิบัติที่ได้รับการรับรองจากองค์อริยสงฆ์ และเป็นการสืบสานมรดกธรรมอันล้ำค่าของชาติ
๕. การเจริญโพชฌงค์ในชีวิตประจำวัน (ง่ายๆ)
แม้โพชฌงค์ 7 จะฟังดูเป็นธรรมะระดับสูง
แต่เราสามารถน้อมนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย ดังนี้:
- ตื่นตัวด้วยสติ (สติสัมโพชฌงค์): ฝึกรู้ลมหายใจเข้าออก รู้สึกตัวขณะเดิน
ยืน นั่ง นอน (อิริยาบถย่อย) และขณะทำงานอย่างต่อเนื่อง
- วิเคราะห์ด้วยปัญญา (ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์): เมื่อมีอารมณ์กระทบ (โกรธ, โลภ, หลง) ให้หยุดแล้วถามตัวเองว่า: อารมณ์นี้ดีต่อฉันหรือไม่? เหตุของมันคืออะไร? (การวิเคราะห์ธรรมในธรรม)
- ลงมือทำด้วยกำลังใจ (วิริยสัมโพชฌงค์): ตั้งใจทำสิ่งที่เป็นกุศลอย่างสม่ำเสมอ
อย่าผัดวันประกันพรุ่ง พากเพียรในการเจริญสติแม้จะเหนื่อยล้า
- ให้รางวัลตัวเองด้วยความเบิกบาน
(ปีติ/ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์): เมื่อทำดีแล้วให้ยินดีกับความดีนั้นอย่างสงบ (ปีติ)
และปล่อยให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนอย่างเต็มที่หลังการปฏิบัติ (ปัสสัทธิ)
- รวมจิตให้แน่วแน่ (สมาธิสัมโพชฌงค์): ขณะทำงานหรือขณะทำสมาธิ
ให้จดจ่ออยู่กับสิ่งเดียวจนกระทั่งเกิดความสงบ ไม่ให้จิตคิดซัดส่าย
- ปล่อยวางอย่างเป็นกลาง (อุเบกขาสัมโพชฌงค์): เมื่อเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ไม่ว่าจะดีหรือร้าย (เช่น มีคนสรรเสริญหรือนินทา) ให้รับรู้แล้ววางใจเป็นกลาง
เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น
การเจริญโพชฌงค์ 7 อย่างต่อเนื่องนี้เอง ที่ทำให้สติปัฏฐาน 4 มีความสมบูรณ์และเป็นไปเพื่อความรู้แจ้งอย่างแท้จริง
ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์ตั้งแต่โบราณได้วางไว้ในบทสวดมนต์ศักดิ์สิทธิ์นี้
๖. สรุป: โพชฌงค์ ๗
คือแสงสว่างสู่การหลุดพ้น
โพชฌังคปัพพะ ในหมวด ธัมมานุธัมมะสะติปัฏฐาน จึงมิใช่เพียงบทสวดที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นแผนที่การปฏิบัติธรรมที่ละเอียดลออ
ที่เริ่มต้นด้วย สติ และจบลงด้วย อุเบกขา อันเป็นความวางใจเป็นกลางที่สมบูรณ์
โพชฌงค์สอนเราว่าการตรัสรู้นั้นเกิดขึ้นได้จากการเจริญธรรมะเหล่านี้ให้สมดุลและบริบูรณ์อยู่เสมอ
ด้วยการมี โยนิโสมนสิการ เป็นเหตุให้เกิด และการละทิ้ง อโยนิโสมนสิการ อันเป็นเหตุให้ดับไป
การได้เจริญรอยตามคำสอนอันเป็นมรดกจากสมเด็จพระสังฆราช
(ปุสสะเทวะ) แห่งวัดราชประดิษฐ์
ทำให้เรามั่นใจได้ว่าเรากำลังเดินตามรอยบาทแห่งพระพุทธองค์ที่ได้รับการสืบทอดอย่างถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาทในประเทศไทยอย่างแท้จริง
แฮชแท็กสำหรับการค้นหา
การศึกษาโพชฌังคปัพพะและธัมมานุธัมมะสะติปัฏฐานนี้เป็นกุญแจสำคัญสู่ความเข้าใจแก่นธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
ขอเชิญชวนให้ทุกท่านร่วมกันเจริญสติและบำเพ็ญเพียรตามธรรมะชุดนี้เพื่อความสุขสงบในชีวิตและเพื่อการเข้าถึงความหลุดพ้นในที่สุด
ท่านสามารถค้นหาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้จากแท็กเหล่านี้: #โพชฌงค์7 #โพชฌังคปัพพะ
#ธัมมานุธัมมะสะติปัฏฐาน #สติปัฏฐาน4 #ธรรมะสู่การตรัสรู้ #สมเด็จพระสังฆราชปุสสะเทวะ
#วัดราชประดิษฐ์ #สวดมนต์ฉบับหลวง #หลักธรรมคำสอน #การปฏิบัติธรรม #Bojjhanga #หลักธรรมชั้นสูง
Comments
Post a Comment